Blog

งานศิลปะที่ปรากฏกายในเนื้อหนัง Pain and Glory

งานศิลปะที่ปรากฏกายในเนื้อหนัง Pain and Glory

08 พฤษภาคม 2563

ถ้าเอ่ยชื่อของเปโดร อัลโมโดวาร์ (Pedro Almodóvar) คอหนังหลายคนน่าจะรู้จักเขาในฐานะ นักสร้างหนัง, ผู้กำกับ, นักเขียนบท, โปรดิวเซอร์ และอดีตนักแสดงชาวสเปน เจ้าของฉายา “เจ้าป้าแห่งวงการหนังสเปน” ผลงานหนังของเขาเต็มไปด้วยลีลาอันจัดจ้าน เปี่ยมสีสัน เต็มไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันแปลกประหลาดพิลึกพิลั่นพิสดารเหนือความคาดหมาย เและถึงพร้อมไปด้วยศิลปะภาพยนตร์อย่างเต็มเปี่ยม

และด้วยความที่อัลโมโดวาร์เป็นผู้ที่หลงใหลในศิลปะอย่างลึกซึ้ง ทำให้มีงานศิลปะชั้นดีแปรากฏให้เห็นในหนังของเขาอยู่บ่อยครั้ง และนอกเขาจะหยิบงานศิลปะเหล่านั้นมาใช้ในหนังเพราะความหลงใหลและรสนิยมส่วนตัวอันวิไลของตัวเองแล้ว ในหลายๆ ครั้ง ผลงานศิลปะเหล่านั้นยังทำหน้าที่ในการช่วยขับเคลื่อนเรื่องราว ขับเน้นบุคลิกภาพของตัวละคร และเป็นสัญลักษณ์สัมพันธ์กับเนื้อหาในหนังอย่างแนบเนียนอีกด้วย

ในตอนนี้เราจะขอกล่าวถึงผลงานศิลปะที่ปรากฏในหนังเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง Pain and Glory (2019) กัน

Pain and Glory (2019)

ในฉากหนึ่งของหนัง Pain and Glory มีสายโทรศัพท์พิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์  [น่าจะในบิลเบา] โทรมาหาผู้ช่วยของผู้กำกับวัยกลางคนตอนปลายอย่าง ซัลบาดอร์ มัลโญ [อันโตนิโอ บันเดรัส ผู้เป็นเสมือนร่างทรงของอัลโมโดวาร์ในหนังเรื่องนี้]  เพื่อขอยืมภาพวาดภาพหนึ่งที่เขาสะสมไปแสดงในนิทรรศการแสดงผลงานย้อนหลังของศิลปินคนหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ แต่ซัลบาดอร์กลับปฏิเสธไปอย่างไร้เยื่อใย พลางบอกว่า “ฉันใช้ชีวิตอยู่กับภาพวาดพวกนี้ ฉันมีแค่ภาพวาดพวกนี้อยู่เคียงข้างเท่านั้น” ซึ่งแปลง่ายๆ ว่า “เสียใจ ยังไงฉันก็ไม่มีวันให้ยืมหรอก!”

ภาพวาดที่ว่านี้ชื่อ Artista viendo un libro de arte (Artist viewing an art book) (2008) และศิลปินผู้วาดภาพนี้ก็มีชื่อว่า กิเยร์โม เปเรซ บิยัลตา  (Guillermo Pérez Villalta) จิตรกรแนวโพสต์โมเดิร์นที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของสเปน ซึ่งภาพนี้ก็ปรากฏให้เห็นอย่างโดดเด่นในฉากที่ซัลบาดอร์คุยกับคนรักเก่าอย่างโหยไห้สะเทือนใจนั่นเอง

ผลงานของบิยัลตา ถ่ายทอดเรื่องราวในชีวิตประจำวันของศิลปินผ่านตัวละครไร้ใบหน้าที่ผสมผสานความแปลกประหลาดเข้ากับความธรรมดาสามัญได้อย่างโดดเด่น ในขณะที่เสื้อผ้าตัวของละคร และการตกแต่งภายในฉากอันวิจิตรเปี่ยมสีสันก็สะท้อนรสนิยมด้านดีไซน์และพื้นเพทางสถาปัตยกรรมของเขาออกมาอย่างชัดเจน

Artist viewing an art book) (2008) โดย กิเยร์โม เปเรซ บิยัลตา

ภาพวาดศิลปินไร้ใบหน้ากำลังเปิดอ่านหนังสือศิลปะในห้องหับที่ตกแต่งอย่างเก๋ไก๋เปี่ยมสไตล์อย่าง Artist viewing an art book  ที่ปรากฏในหนัง Pain and Glory นั้นสะท้อนรสนิยมในการใช้ชีวิตและการหวนกลับไปค้นหาตัวตนในอดีตของตนเองของตัวละครเอกในหนัง Pain and Glory ได้อย่างแยบคาย

ผลงานของบิยัลตา ยังไปปรากฏในหนังของอัลโมโดวาร์หลายต่อหลายเรื่องอย่าง Pepi, Luci, Bom and Other Girls Like Mom (1980), Labyrinth of Passion (1982) 

The Skin I Live In (2011)

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนัง The Skin I Live In (2011) ที่มีภาพวาด Dionisios encuentra a Ariadna en Naxos (Dionysus found Ariadne on Naxos) (2008) ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากตำนานเทพนิยายกรีกในตอนที่ ไดโอนิซุส เทพแห่งสุราเมรัยบังเอิญพานพบกับ อารีแอดเน บุตรีของกษัตริย์แห่งครีตผู้มีหน้าที่อยู่โยงเฝ้าเขาวงกตที่กักขังอสูรร้าย มิโนทอร์ ผู้มีร่างกายเป็นคนแต่หัวเป็นวัว บนเกาะแน็กซอส ปรากฏให้เห็น

Dionysus found Ariadne on Naxos (2008) โดย กิเยร์โม เปเรซ บิยัลตา

สีสันจัดจ้านและองค์ประกอบอันประหลาดล้ำพิสดารของตัวละครคู่รักใบหน้าไร้องคาพยพในภาพนี้เองก็โยงใยไปถึงกามารมย์อันพิสดาร กับการถูกจองจำและสูญเสียตัวตนของตัวละครในหนัง The Skin I Live In ได้อย่างลุ่มลึกเช่นเดียวกัน

อ่านเกี่ยวกับกิเยร์โม เปเรซ บิยัลตา ได้ที่นี่ https://bit.ly/3bT4LVo 

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างในหนังของอัลโมโดวาร์ก็คือ เขามักจะหยิบเอางานศิลปะของศิลปินสเปนมาใช้ในหนังของเขาเป็นส่วนใหญ่ ในเรื่อง Pain and Glory ก็มีงานของศิลปินสเปนอีกหลายคนให้เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากอพาร์ตเมนต์ของตัวเอกอย่างซัลบาดอร์

ถามว่าในฉากนี้มีงานศิลปะเยอะแค่ไหน ก็เยอะขนาดที่เมื่อคนรักเก่าของซัลบาดอร์เข้ามาเยี่ยมเยือนในอพาร์ตเมนต์ของเขาเป็นครั้งแรกยังต้องอุทานว่า \"ยังกับพิพิธภัณฑ์เลย!\" น่ะนะ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงรสนิยมและความหลงใหลในศิลปะของผู้กำกับอย่างอัลโมโดวาร์ได้เป็นอย่างดี

Pain and Glory (2019)

อาทิเช่น ผลงานของจิตรกรเซอร์เรียลลิสต์ชาวสเปน มารูคา มัลโญ (Maruja Mallo) อย่าง El Racimo de Uvas (1944) ภาพวาดสีน้ำมันรูปพวงองุ่นชิ้นนี้ เป็นภาพที่อัลโมโดวาร์เคยปรารถนาจะครอบครองตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเห็นมันในนิทรรศการของมัลโญ ในหอศิลป์ที่กรุงมาดริด ในปี 2017 แต่ตอนนั้นเจ้าของแกลเลอรีไม่ยอมขายให้เขา แต่สุดท้ายมันก็มาปรากฏอยู่ในหนังเรื่องนี้จนได้ในที่สุด

El Racimo de Uvas (1944) โดย มารูคา มัลโญ

อนึ่ง มารูคา มัลโญ เป็นศิลปินคนสำคัญในขบวนการ Generation of ’27 กระแสเคลื่อนไหวทางวัฒธรรมในยุค 1923 และ 1927ของสเปน ที่ประกอบด้วยศิลปินและหัวก้าวหน้าผู้กลายเป็นศิลปินคนผู้ยิงใหญ่แห่งลัทธิเซอร์เรียลลิสม์อย่าง ซัลบาดอร์ ดาลี, ฆวน มิโร (Joan Miró) และฆอร์เก ลุยส์ บอร์เกส (Jorge Luis Borges) กวีและนักเขียนคนสำคัญแห่งอาร์เจนตินา และมัลโญเองก็น่าจะเป็นศิลปินคนโปรดของอัลโมโดวาร์ด้วย เพราะนอกจากผลงานชิ้นนี้แล้ว ในหนังยังปรากฏผลงานของเธออีกหลายชิ้น และที่สำคัญ การที่ตัวเอกในเรื่องอย่างซัลบาดอร์ ก็ใช้นามสกุล "มัลโญ" เหมือนกันกับเธอนั้นก็ไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญแน่ๆ

Pain and Glory (2019)

หรือผลงานของศิลปินสเปน ซิกเฟรโด มาร์ติน เบอเก (Sigfrido Martín Begué) อย่าง Las costureras ช่างเย็บผ้า (1996) และผลงาน El olfato Santa Casilda (The smell of Santa Casilda) (1986) ซึ่งก่อนหน้านี้ผลงานของเบอเก ก็ปรากฏในหนังของอัลโมโดวาร์อย่าง Bad Education (2004) มาแล้ว

Las costureras (1996) โดย ซิกเฟรโด มาร์ติน เบอเก

The smell of Santa Casilda (1986) โดย ซิกเฟรโด มาร์ติน เบอเก

อนึ่ง กิเยร์โม เปเรซ บิยัลตา และ ซิกเฟรโด มาร์ติน เบอเก นั้นนอกจากจะสนิทสนมกับอัลโมโดวาร์มาหลายสิบปี และมีผลงานมาปรากฏอยู่ในหนังของเจ้าป้ามาหลายต่อหลายเรื่องแล้ว ทั้งสามต่างก็เป็นศิลปินเริ่มต้นอาชีพการงานของตนท่ามกลางการระเบิดขึ้นของกระแสเคลื่อนไหวทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ที่มีชื่อเรียกว่า ลาโมวิดา มาดรีเลญญ่า La Movida Madrileña หรือ The Madrid Scene ที่เกิดขึ้นในกรุงมาดริด ในช่วงเวลาที่ประเทศสเปนเปลี่ยนผ่านจากระบอบเผด็จการมาเป็นประชาธิปไตย ภายหลังจากการตายของผู้นำเผด็จการ ฟรานซิสโก ฟรังโก ในปี 1975 ทำให้สภาพสังคมเปี่ยมล้นด้วยเสรีภาพและความมีชีวิตชีวาและการแสดงออกอย่างไร้ขีดจำกัด แม้แต่เรื่องที่เคยต้องห้ามอย่างเรื่องเพศและการแสดงออกถึงความหลากหลายทางเพศก็ตาม

ภาพวาดสีน้ำของซัลบาดอร์ในวัยกระเตาะ วาดโดยศิลปินชาวสเปน ผู้เป็นเพื่อนสนิทของอัลโมโดวาร์อย่าง ฆอร์เก กาลินโด (Jorge Galindo)

การคัดเลือกผลงานของศิลปินเหล่านี้ รวมถึงศิลปินสเปนคนอื่นๆ อีกหลายคน [จนเขียนกันไม่หวาดไม่ไหว] ที่อยู่ร่วมในกระแสเคลื่อนไหวนี้ มาปรากฏในหนังของอัลโมโดวาร์นั้น เป็นการแสดงการรำลึกและคารวะแก่ปรากฏการณ์วัฒนธรรมที่ว่านี้ ที่ตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในนักสร้างสรรค์คนสำคัญที่อยู่ร่วมในกระแสความเคลื่อนไหวอันเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งความเสรีนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

ภาพถ่ายหุ่นนิ่งในซีรีส์ Vida Detenida (2017) โดย เปโดร อัลโมโดวาร์

นอกจากนี้ ในหนังยังมีผลงานศิลปะที่อัลโมโดวาร์สร้างสรรค์ขึ้นเองอย่าง ภาพถ่ายหุ่นนิ่งในซีรีส์ Vida Detenida ที่เคยแสดงในนิทรรศการเดี่ยวของเขาในสหรัฐอเมริกาและลอนดอน ผลงานภาพถ่ายรูปแจกันและดอกไม้เปี่ยมสีสันในสไตล์ป๊อปอาร์ตชุดนี้เป็นตัวแทนของความรักในศิลปะอันเปี่ยมล้นของเขาได้เป็นอย่างดี

ดังเช่นฉากจบในหนัง Pain and Glory อันเรียบง่ายสามัญ ทว่างดงามและทรงพลัง มันแสดงให้เราเห็นว่า ตลอดอาชีพการทำงานอันยาวนานของคนทำหนังอย่างอัลโมโดวาร์ ศิลปะนั้นหลอมรวมเข้ากับชีวิตอย่างไม่อาจแยกออกจากกันได้.

ภาพและข้อมูลจาก https://bit.ly/3c1Rh9Z, https://bit.ly/2XkAjzo, https://bit.ly/2JOUbCL, https://bit.ly/2wwcMkg, https://bit.ly/2UTeRA3 

#WURKON #art ##movie #artonfilm #pedroalmodovar #painting #guillermopérezvillalta #marujamallo #sigfridomartínbegué #themadridscene #freedomofexpression #inspiration #แรงบันดาลใจจากงานดีไซน์สู่ภาพยนตร์

สัมผัสแรงบันดาลใจจากความคิดสร้างสรรค์แห่งการออกแบบวิถีชีวิตการทำงานยุคใหม่ได้ที่ WURKON ผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบพื้นที่สำนักงานและพื้นที่สาธารณะสมัยใหม่ www.wurkon.com 

สามารถติดตามข่าวสารทุกวันได้ที่ : www.facebook.com/WURKON

สอบถามข้อมูลได้ที่ Tel : 02-005-3550 Fax : 02-005-2557

Official Line : @wurkon (มี @ ด้วย) / Twitter : @wurkon

Follow Instagram : @wurkon


Related Stories

Showroom
Address

71/15 Soi Pattanavate 12, Sukhumvit 71 Road, Prakanong-Nua, Wattana, Bangkok 10110, Thailand

Call Us
  • (66) 02-005-3550
  • (66) 096-391-9462
Fax

(66) 02-005-2557

Opening Hours

Mon - Fri: 08:30 - 17:30